เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ส.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมที่เป็นสัจธรรม ไม่ใช่สัจธรรมที่เป็นสัทธรรมปฏิรูป คิดเองเออเอง

มันซึ้งใจมาก ซึ้งใจมาก เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงตาไง หลวงตาท่านมีการศึกษามาจนเป็นมหานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด ประเสริฐมาก แต่เวลาท่านศึกษามาแล้วเวลาเอามาประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นอุปาทาน มันจะเป็นการสร้างภาพ มันจะเป็นวิปัสสนึก ฉะนั้น เวลาปฏิบัติไปมันจะแสนทุกข์แสนยาก เพราะหลวงปู่มั่นท่านสมบุกสมบันมาก่อน

เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ เวลาท่านได้นิมิต ท่านขี่ม้าขาวข้ามขอนภพขอนชาติ แล้วจะไปเปิดพระไตรปิฎกแล้วไม่ได้เปิด ถ้าได้เปิดพระไตรปิฎก หลวงปู่มั่นจะเชี่ยวชาญมากกว่านี้อีกมากมายมหาศาลเลย แต่เพราะว่าอำนาจวาสนาบารมีแค่นี้ใช่ไหม

แล้วเวลาท่านปฏิบัติกับหลวงปู่เสาร์ เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ประวัติหลวงปู่มั่นเขียนมาแค่ ๗๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นน่ะ สิ่งที่สมบุกสมบันที่ท่านพยายามเผชิญกับกิเลส เผชิญกับกระแสสังคม กระแสโลก กระแสที่เขาต่อต้าน แล้วท่านต้องเผชิญกับกิเลสของท่านในหัวใจของท่าน นั่นน่ะคือประสบการณ์แท้จริงของหลวงปู่มั่น

การประสบการณ์แท้จริงของหลวงปู่มั่น เหมือนเราเป็นพ่อเป็นแม่ พ่อแม่ทุกข์ยากมาขนาดไหน ไม่อยากให้ลูกเราทุกข์ยากเหมือนพ่อแม่หรอก นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่มั่นท่านทุกข์ยากมาขนาดไหนในการเผชิญหน้ากับกิเลสไง

เวลาหลวงตาไปหาท่าน เพราะหลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้ฟัง เวลาท่านบอกเลย ต่อไปข้างหน้าจะมีพระหนุ่มๆ องค์หนึ่งจะมาหาเรา มาหาเราแล้วแต่ยังไม่เข้ามา ไปหาที่เชียงใหม่ก็ยังไม่ได้เข้ามา

เวลาไปถึงนั่น เวลาไปหา

มหา มหาจะมาหาอะไร หานิพพานใช่ไหม นิพพานไม่ได้อยู่บนเขา บนตำรับตำรา ไม่อยู่บนอะไรทั้งสิ้น มันอยู่ในใจของคน

นี่ไง เวลาท่านเรียนมหาๆ ไง ท่านเรียนจนเป็นมหามานะ สิ่งที่เรียนมาให้ใส่ลิ้นชักสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้อย่าให้มันออกมา ถ้าออกมามันจะเตะมันจะถีบกันเวลาประพฤติปฏิบัติ มันจะเป็นอุปาทาน มันเป็นการสร้างภาพ มันทุกข์ยากไปหมดเลย แล้วถ้าคนมีอำนาจวาสนาขึ้นมามันก็ต้องต่อสู้กับความผิดพลาดอย่างนั้น พลิกแพลงขึ้นมาอย่างนั้นจนกว่ามันจะถูกต้อง

แล้วเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ไง สมาธิหลับตา สมาธิลืมตา อัปปนาสมาธิจะเกิดปัญญาเองไง นี่มันเตะมันถีบ

ชัดเจนเลยนะ มันไปซาบซึ้งคำที่หลวงปู่มั่นบอกไว้ เรามีการศึกษามามากน้อยแค่ไหนเก็บใส่ในสมองลิ้นชักไว้ แล้วก็ลั่นกุญแจไว้อย่าให้มันออกมา แล้วเราพยายามฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมาให้เป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริงแล้วมันจะไปเหมือนกันเปี๊ยบ

ทฤษฎีที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะผิดพลาดไปไหน มันถูกต้องทั้งนั้นน่ะ แต่มันผิดที่กิเลสของเรา ผิดที่ความอยากได้อยากดี ผิดที่ชิงดีชิงชั่วในใจไง ผิดที่อุปาทานไง ผิดที่อยากได้ผลก่อนไง มันถึงได้ผลมาเป็นอย่างนี้ไง

อัปปนาสมาธิมันจะเกิดปัญญาไปเอง มันเป็นไปไม่ได้ คนที่ภาวนาเป็นจะรู้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

สมาธิหลับตา สมาธิลืมตา มันก็เป็นไปไม่ได้ หลับตาลืมตาจะเป็นสมาธิได้อย่างไร

สมาธิมันเป็นสมาธิ มันมีแต่สมาธิที่ถูกและสมาธิที่ผิด คือสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ แล้วมันไม่เป็นสมาธิแล้วอุปาทานว่าเป็นสมาธิ นี่มันเป็นบาทเป็นฐาน มันแค่เป็นพื้นฐาน มันไม่เป็นอะไรเลย เห็นไหม

แต่เพราะเรียนมามาก ปัญญามาก เอามาผสมปนเปกันน่ะ จินตนาการ จินตมยปัญญา กิเลสมันจินตนาการได้หลากหลาย

เวลาหลวงปู่มั่นท่านกระหนาบเลยนะ บอกว่า สิ่งที่ท่านเรียนมาประเสริฐ

โลกเราเจริญได้ด้วยการศึกษานะ การศึกษามันศึกษาเพื่อฝึกหัดปัญญา แต่การศึกษามาแล้ว คนที่ฉลาด แล้วคนดี คนที่ฉลาดด้วย แล้วถ้าเป็นคนดีด้วย คนที่ฉลาดถ้ามันคดมันโกง ไอ้นั่นมันคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่การศึกษา

การศึกษาก็คือการศึกษา แต่ศึกษามาแล้ว วัฒนธรรมสอนให้คนมันมีอุดมการณ์ สอนให้คนเป็นคนดีขึ้นมา ถ้าสอนให้คนเป็นคนดีขึ้นมา นั่นกระแสโลกๆ ทั้งสิ้นเลย เพราะกระแสโลกๆ มันเป็นเรื่องของโลก เราต้องมีความมุมานะ เราต้องวิเคราะห์วิจัยสังคมว่ามันเป็นอย่างไร กว่าเราจะเผชิญกับสังคมนั้น แต่เวลาเราจะไปต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา มันเข้าข้างตัวเองทั้งนั้นน่ะ แล้วสิ่งนี้มันเป็นความมหัศจรรย์นะ

หลวงปู่มั่นท่านพูดชัดเจนจริงๆ จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จิตนี้เป็นมหัศจรรย์นัก จิตนี้ แก้จิตแก้ยากว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ

แต่มันไม่มีคนให้แก้ คนภาวนาเข้าหลักเข้าเกณฑ์มันไม่มี คนภาวนาเข้าหลักเข้าเกณฑ์ไม่มี ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มันไม่เข้าหลักเข้าเกณฑ์มันก็จินตนาการของมันไป แล้วเวลาพูดออกมา เบสิกเลย พื้นฐานเลย ยังผิดเลย

เวลาหลวงตาท่านสงสัยในตัวหลวงปู่แหวน เพราะหลวงปู่แหวนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิเลย แต่ทำไมหลวงปู่แหวนท่านเป็นพระที่ดี ทำไมท่านแจกเหรียญ แจกอะไรมากไง เพราะตอนนั้นกรรมฐานเขาถือว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องตลาด เรื่องโลกไง

ท่านก็ขึ้นไปหาหลวงปู่แหวนใช่ไหม เวลาเข้าไปแล้วมันไม่มีโอกาส เพราะคนมันมหาศาล จนสุดท้ายแล้วท่านเองก็ต้องใช้ปัญญาของท่านเอง บอกคนเลย บอกกั้นไว้ก่อน เราจะเข้าไปหาหลวงปู่แหวนก่อน เดี๋ยวจะให้เข้าได้หมดเลย ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้เข้า แล้วท่านก็เข้าไปหา

มันทั้งกระแสโลก กระแสโลกที่รุมเร้าเต็มที่เลย แล้วท่านก็เอาความจริงๆ มันไม่มีโอกาสหรอก แต่ถึงเวลาแล้วก็ต้องใช้ปัญญาของท่าน ปัญญาๆ สิ่งที่ว่ามีปัญญาๆ สิ่งที่ว่าสังคมจะมั่นคง สังคมจะเจริญรุ่งเรืองได้ด้วยปัญญาของคน ปัญญาก็ใช้อุบาย กั้นโยมไว้ก่อน แล้วเข้าไปเป็นโอกาส เพราะอะไร

เพราะท่านรู้จักกันเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว แต่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันต้องตัวต่อตัว มันต้องใจต่อใจ ใจถึงใจ ใจควักหัวใจนั้นออกมา เห็นไหม ถามปัญหาเริ่มต้น หลวงปู่แหวนตอบเลย พับ! พับ! พับ! เออ! ใช่

เห็นไหม มันต้องเริ่มต้นพื้นฐานมันต้องถูกต้องมาก่อน พอพื้นฐานถูกต้องแล้ว เอาแล้ว ใส่ปัญหาที่สองเข้าไปเลย โอ้โฮ! ท่านบอกว่า ๔๕ นาทีใส่เต็มที่เลย ใส่เต็มที่เพราะอะไร เพราะมันเต็มหัวใจอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครสนใจไง นี่ความจริง พอความจริงเป็นอย่างนี้ปั๊บ ก็เลยหายสงสัยว่าไอ้รุ่นเราสู้ เราสู้ ก็เลยจบกันไปไง รุ่นเราสู้ เราสู้ มันเป็นอำนาจวาสนาของคนนะ

พระกรรมฐานเขาจะไม่สังคมโลกให้มาทับถมไง สังคมโลกเป็นสังคมโลก จะช่วยเหลือโลกก็ช่วยเหลือโลกโดยที่ไม่ให้โลกมาทับมาถม ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงขึ้นมา นี่ไง เวลามันถูก มันถูกอย่างนั้นน่ะ

ถ้าเวลามันผิด นี่ไง สิ่งที่ศึกษามา ศึกษา เพราะที่มันผิดพลาดเพราะอะไร เพราะเรียนมาเยอะ ปัญญาเยอะ มีการศึกษามาก ทำหน้าที่ราชการจนมียศถาบรรดาศักดิ์ แล้วมาบวชขึ้นมามันก็สร้างภาพ ก็เลยกลายเป็นว่า อัปปนาสมาธิแล้วมันจะเกิดปัญญาเอง

ถ้ามันเกิดปัญญาเอง ทำไมเขาติดสมาธิ

แล้วสมาธิหลับตา สมาธิลืมตา สมาธิเป็นมิจฉาสมาธิ มันจะเกิดปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าสมาธิเป็นสมาธิขึ้นมา เอ็งยังไม่รู้จักสมาธิ แล้วคนจะทำสมาธิผิดพลาดหมดเลยใช่ไหม

ในสามัญสำนึก ลูกหลานของเรานะ เด็กเยาวชนของเรา เราต้องการให้เยาวชนของเราเป็นคนดี เราก็มีการศึกษา เราก็พยายามจะมีกิจกรรมให้เยาวชนของเรามันมีการพัฒนาของมันใช่ไหม เยาวชนของเรา เราต้องฝากชาติ ฝากสังคมไว้กับเยาวชนของเรา

สังคมพระปฏิบัติก็เหมือนกัน มันก็มีตั้งแต่สามเณรน้อย มีผู้ฝึกหัดขึ้นมาใหม่ การฝึกหัดขึ้นมาใหม่มันก็ต้องเริ่มต้นมาจากเริ่มต้น มันจะผิดมันจะพลาดมันก็เรื่องธรรมดา คนฝึกหัดคนทำงานมันเรื่องผิดพลาดนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องทำให้มันทำได้จริง ทำให้เป็นจริงไง

ไอ้นี่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น งูๆ ปลาๆ นี่ไง คึกฤทธิ์ไง เงินผันนั่นน่ะ ขุดคลอง จะทำคลองเพื่อชักน้ำเข้ามาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ ขุดคลองเสร็จแล้วก็ถมคลองทำถนน

มึงจะขุดคลองหรือถมถนน จะถมถนนก็เป็นวิธีการหนึ่งใช่ไหม ไอ้ขุดคลองก็เป็นเรื่องหนึ่งใช่ไหม ไอ้นี่งูๆ ปลาๆ ไอ้จะปฏิบัติก็ต้องศึกษา ศึกษาให้มีความรู้ ไอ้ความรู้ขึ้นมาแล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมาก็ต้องเป็นความว่างๆ

นี่มันเป็นเรื่องของสังคม เรื่องของโลกนะ เรื่องของการศึกษา เรื่องของฝึกหัดใช้สติปัญญานี่สำคัญ สำคัญมาก แต่สำคัญแค่ไหนล่ะ

ดูสิ เด็กน้อยเรา พ่อแม่ไปส่งไปรับหน้าโรงเรียนเลย ถ้าไม่สำคัญ ไปส่งมันทำไม เรียนทำไม ลูกเราทั้งนั้นน่ะ นั่นก็หัวใจเลยแหละ ควักหัวใจไปไว้ที่นั่นเลย ถ้าผิดถูกขึ้นมาหัวใจเราทั้งสิ้น เราก็พยายามพัฒนาขึ้นมาให้มันสูงขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าทำนู่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้ ไอ้นู่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด แล้วทำอะไรกัน

จะผิดจะถูกเรามีเจตนาที่ดี เราจะทำคุณงามความดีที่ดีของเราขึ้นมา ถ้าทำขึ้นมานะ มันจะผิดมันจะถูกไม่สำคัญ สำคัญว่าเราได้ฝึกหัดหรือเปล่า เราได้ทำหรือเปล่า ถ้าฝึกหัดแล้ว ทำแล้ว

หลวงปู่มั่นท่านพูดไง จิตนี้แก้ยากนะ จิตนี้แก้ยากนะ

พอมันฝึกหัดขึ้นมา โอ้โฮ! ทำต้องขนาดนี้นะ โอ๋ย! เหนื่อยมากเลย โอ้โฮ! มีแต่เอ็ด แต่สอน

อ้าว! ก็ทำให้เข้าที่เข้าทางไง

เราเคยอยู่กับหลวงตานะ เวลา โอ้โฮ! โดนเต็มที่เลย เต็มที่เพราะอะไร เพราะมันก็ไปรู้ไปเห็นของมันธรรมชาติของมันนั่นแหละ ท่านก็กระหน่ำเต็มที่เลย มันคิดน้อยใจนะ อู้ฮู! มันโดนตลอดเลย

เวลาท่านรู้ความคิดไง ท่านดักเลย “เออ! ก็มันลูกศิษย์เรานี่นะ เราไม่สอนลูกศิษย์เราจะไปสอนใครวะ”

โอ้โฮ! หัวใจนี้พองเลยนะ

ใครบ้างมันโดนกระหน่ำแล้วมันไม่มีความรู้สึก มันมีทั้งนั้นน่ะ แล้วอย่างพวกเรา เราไม่มีสติปัญญาเท่าทันอย่างนั้นไง แล้วครูบาอาจารย์ที่จะรู้ถึงความคิด รู้ถึงจิตที่มันเจริญก้าวหน้า จิตที่มันเสื่อมทราม แล้วจะพยายามฟื้นฟูจิตใจที่มันย่อท้อ เราจะไปหาที่ไหน

ครูบาอาจารย์ที่ดีงามๆ น่ะ มันสอนเฉพาะบุคคล มันไม่มีหรอกสอนสำเร็จรูป ยกชั้นๆ ไม่มี นี่สอนสมาธิกรรมฐานไง ไปอยู่ที่สมุดดินสอนั้นหมด ไอ้นั่นปริยัติ การศึกษาการท่องจำก็เรียนมา เรียนมาทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ทรงจำไว้ทำไม ก็ทรงจำไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงสิ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไปก็ไปห่วงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

นี่ไง หลวงปู่มั่นท่านให้หลวงตาพระมหาบัว ความรู้เรียนจบถึงเป็นมหา เอาความรู้นั้นน่ะใส่ในลิ้นชักสมองไว้ก่อน แล้วล็อกมันไว้อย่าให้มันออกมา ถ้ามันออกมา พอภาวนาไป เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ จะได้แล้ว จะเสียแล้ว ถอยแล้ว บุกแล้ว รุกแล้ว เลยกลายเป็นมายาในหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วคนปฏิบัติก็เหนื่อยยาก

ถ้าคนที่เป็นคนที่มีบารมีนะ เขาจะทดสอบใจของเขาว่าถูกหรือผิด พยายามตรวจสอบว่ามันใช่หรือไม่ใช่ แต่คนที่บารมีเบาบางนะ ใช่แล้ว นี่ไง เรียนมาเป็นมหา ชัดเจนเลย

ก็เอ็งไม่ปฏิบัติเอ็งก็รู้อยู่แล้ว ก็เอ็งเรียนมาเอ็งก็รู้อยู่แล้ว แล้วตอนที่เรียนมารู้แล้วมันก็ไม่ใช่ใช่ไหม เพราะจะมาปฏิบัติให้มันใช่นี่ไง แล้วเวลาปฏิบัติ ตอนมันใช่ พอมันมีสัญญาอารมณ์เกิดขึ้น แล้วว่าใช่ได้อย่างไร

เวลาด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ท่านพูดเอง ตอนที่อยู่บ้านผือนั่นน่ะ ตอนนั้นท่านบอกเลย ไม่อยากตายๆ เพราะตายก็ไปเกิดเป็นพรหม ท่านรู้ตัวของท่านด้วย มันเสวยอารมณ์แล้วปล่อย เพราะมันมีความคิด มันมีความคิดมันก็ปล่อย ก็ว่าง เอ๊ะ! อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ

ท่านบอกว่า อวดอุตตริมันเป็นปาราชิก แต่นี่เวลาภาวนามันเกิดขึ้นมาในใจน่ะ ท่านปัดเลย เพราะมีการศึกษา ลังเลสงสัยไม่ได้ มันต้องมีเหตุมีผลของมัน ถ้าอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้ ‘ถ้า หรือ จะ’ ไม่เอา ต้องให้มันชัดเจนขึ้นมา เห็นไหม มันก็มาเป็นประโยชน์

ท่านบอกตรงนี้มันเป็นประโยชน์มากเลย เพราะตอนนั้นหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ท่านบอกว่าถ้าหลวงปู่มั่นอยู่นะ ผมทะลุไปเลย คือจบ แต่นี่หลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว ท่านต้องค้นเองหาเองอีก ๘ เดือน

เวลาผ่องใส สว่างไสว ทะลุปรุโปร่ง ภูเขาเลากานี่บังตาไม่ได้เลย โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ขนาดนั้นน่ะ

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสคืออวิชชา นี่เวลาธรรมมาเตือน ไอ้ผ่องใสๆ ความผ่องใส พลังงานมันเกิดจากตรงไหน สิ่งที่พลังงานมันเกิดจากใคร มันก็เกิดจากจุดและต่อม

ท่านบอกขนาดจุดและต่อม นี่ธรรมผุด ธรรมะมาเตือนๆ ขนาดธรรมะมาเตือนแล้วนะ จุด จุดอะไร ต่อม ต่อมอะไร งง ยังงงอยู่อย่างนั้นน่ะ

เวลาค้นหา ค้นคว้าค้นหาเทียบเอง นี่ถ้าคนมีสติปัญญาเขาจะค้นคว้าของเขาอย่างนี้

ถ้าเป็นปริยัติหรือเป็นโลกเขาบอก เออ! ไอ้สายๆ ก็นี่ไง ดวงอาทิตย์ไง นี่ไง ไอ้เกิดดับๆ ก็ไฟรีโมตตามถนนน่ะ เวลาแสงมันน้อยมันติดพับ! เลย มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันทำได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วอธิบายเป็นธรรมะ ใครก็อธิบายได้

แล้วอธิบาย วิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ แก้กิเลสไม่ได้ มันไม่มีชีวิต มันไม่มีกิเลส มันไม่มีความทุกข์ มันมีพลังงานดับหรือเกิดเท่านั้นน่ะ ไฟไม่มามันก็ทำอะไรไม่ได้ มันมีพลังงานเข้าไปมันก็ทำของมันได้ มันก็อยู่แค่นั้นน่ะ คนคิดขึ้นมา คนทำขึ้นมา มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันไม่มีกิเลส มันไม่ทุกข์ไม่ยาก คนต่างหากต้องควักตังค์

นี่ไง มันสะเทือนใจไง มันย้อนไปถึงว่าเวลาหลวงปู่มั่นท่านกระหนาบหลวงตาไว้ คือว่าไม่อยากให้ท่านทุกข์ยากจนเกินไปไง

มหา สิ่งที่ศึกษามานั้นน่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเทิดทูนนะ เราเทิดทูนไว้ เราไม่ใช่เหยียบย่ำ ไม่ได้ทำลาย แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันจะไปน้อม ไปรั้งเอามาเป็นสมบัติของตน แล้วมันจะสร้างภาพด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ด้วยรูปแบบที่เราทำให้เหมือน แล้วมันก็จะบอกว่ามันเป็นๆ ไง แล้วถ้าอย่างนี้ไป ชาตินี้ก็จะไม่ได้มรรคได้ผลไปทั้งชาติ แล้วมันจะทุกข์ยากมหาศาลเลย

เราซึ้งคำนี้มากๆ แล้วพูดทุกวัน เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดไง เอาความรู้ที่ศึกษามาใส่ลิ้นชักสมองไว้ เวลาจะภาวนาไง เวลาจะเข้าทางจงกรม เวลานั่งสมาธิภาวนา อย่าให้มันเข้ามาแจม เข้ามาร่วมกับการภาวนาของเรา แล้วประพฤติปฏิบัติของเราไป เวลาถึงเวลาแล้วถ้าเป็นจริงแล้วเป็นอันเดียวกันๆ

เวลามันเป็นจริงขึ้นมาแล้วก็เป็นอันเดียวกันจริงๆ อันเดียวกันจริงๆ แต่ที่มันผิดพลาดๆ มันผิดพลาดก็ผิดพลาดด้วยกิเลสของเรา

แล้วดูหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านเทศนาว่าการ ท่านแก้จิต แก้ผิดตรงไหน ไม่มีผิด

โธ่! แค่ฟังก็รู้แล้ว สมาธิหลับตา สมาธิลืมตา ช็อกเลยนะ แต่เป็นเรื่องของเขา แต่คราวนี้มันถึงเวลา ถึงเวลาว่า พระกรรมฐานเป็นฤๅษีชีไพร นั่งหลับหูหลับตา ไม่มีสติปัญญา

ปัญญาของเขาเป็นปัญญาจริงๆ ปัญญาเกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติ เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากทำจิตให้สงบระงับ จิตสงบระงับแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เกิดภาวนามยปัญญา การศึกษาในดวงจิตนั้น การศึกษาบนภวาสวะนั้น การคายกำหนัด การคายทิฏฐิ การคายกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจดวงนั้น จนจิตผ่องใส ผ่องใสนี้คือตัวภพแท้ๆ เลย คือตัวอวิชชาเลย ทำลายความผ่องใสไง

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลสไง

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

คนที่ประพฤติปฏิบัติชัดเจน ชัดเจนมากๆ จิตผ่องใสมันวางจากอารมณ์ต่างๆ มาหมดแล้ว มันวางจากความรู้สึกนึกคิดมาหมดแล้ว มาผ่องใสในตัวของมันเองนั่นน่ะ

นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แต่เวลาที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติพร้อมกับการศึกษา พร้อมกับปัญญาของตน คือปัญญาโลกไง จะเป็นคลองหรือจะเป็นถนนน่ะ เป็นทั้งคลอง เป็นทั้งถนน เป็นทั้งปู เป็นทั้งปลา เป็นทั้งการศึกษา เป็นทั้งปัญญาชน เป็นทุกอย่างเลย...เลยไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง เอวัง